Print this page

การันตี “แล็บไทย” มาตรฐานโลก มุ่งเป้าตลาดอียูส่งออกผัก-ผลไม้

 

หากย้อนไปช่วง 8-10 ปีที่ผ่านมา ข่าวประเทศไทยมีปัญหาการส่งพืชผักไปขายยังต่างประเทศถูกตรวจพบสารเคมีในปริมาณที่มากเกินมาตรฐานที่กำหนด จนถูกประเทศปลายทางตีกลับสร้างความเสียหายนับมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะประเทศในสหภาพยุโรป (อียู) ที่เข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จากข้อมูลสถิติการส่งสินค้าไปสหภาพยุโรปพบว่าผักและผลไม้ไทยถูกตรวจพบสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานที่อียูกำหนดเกือบทุกครั้ง เนื่องจากสินค้าอาหารสดรวมทั้งพืช ผักและผลไม้ ที่ส่งออกไปยังอียูจะต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority : EFSA) โดยผ่านกระบวนการทดสอบจาก EURLs (European Union Reference Laboratories) ซึ่งเป็นแล็บกลางของสหภาพยุโรป ทว่าปัจจุบันปัญหาเหล่านี้กลับไม่มีให้เห็น หลังจากที่ประเทศไทยได้พัฒนาระบบการตรวจวัดสารปนเปื้อนที่ได้มาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ภายใต้บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด หรือเซ็นทรัลแล็บ (ซีแอลที)

 

“เป็นที่ทราบกันดีว่าการส่งออกผักและผลไม้ไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรปมีหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดที่สุดในบรรดาตลาดส่งออกทั่วโลก โดยให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อมาตรฐานและความปลอดภัยในการบริโภคของประชากรในพื้นที่ ซึ่งนับเป็นความสำเร็จของซีแอลที ห้องปฏิบัติการหนึ่งเดียวของประเทศไทยที่สามารถโชว์ศักยภาพการทดสอบ EURLs ในการตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนยาฆ่าแมลงในผักและผลไม้ได้ในระดับสากล”

สุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด เผยระหว่างแถลงข่าวความสำเร็จของเซ็นทรัลแล็บ หรือ “แล็บประชารัฐ” ในการเข้าร่วมและผ่านการทดสอบจาก EURLs ประจำปี 2516 ซึ่งเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน จากจำนวนห้องปฏิบัติการที่เข้าร่วมทั้งสิ้น 171 แห่งจาก 27 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ทำให้เซ็นทรัลแล็บประชารัฐ เป็น 1 ใน 3 ของอาเซียนประกอบด้วย ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย และ 1 ใน 4 ของเอเชีย ประกอบด้วย ไทย จีน สิงคโปร์ และอินเดีย

“จากการเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้เปรียบเทียบผลการตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนยาฆ่าแมลงในผักและผลไม้ ซึ่งเป็นกระบวนการทดสอบจาก EURLs แล็บกลางของสหภาพยุโรป โดยซีแอลทีนำตัวอย่างผักและผลไม้ที่ EURLs กำหนดค่าสารปนเปื้อนไว้ มาตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการแล้วส่งผลการตรวจวิเคราะห์กลับไปยัง EURLs เพื่อเปรียบเทียบค่าที่กำหนดไว้ ปรากฏว่าซีแอลทีสามารถตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนในตัวอย่างที่ใช้ในการทดสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพและผ่านการทดสอบจาก EURLs เป็นห้องปฏิบัติการที่มีศักยภาพ ได้รับการประกาศผลอย่างเป็นทางการประจำปี 2516 ถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน”

คุณสุรชัย เผยต่อว่า จากผลการทดสอบของ EURLs ถือเป็นผลงานเชิงประจักษ์ของซีแอลที ที่สะท้อนถึงศักยภาพการตรวจวิเคราะห์ ในระดับมาตรฐาน อียู ทั้งบุคลากร เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างเสถียรภาพใกล้เคียงกับการตรวจวิเคราะห์ของ EURLs ส่งผลให้ซีแอลที เป็นห้องปฏิบัติการที่มีความน่าเชื่อถือ ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการและสร้างโอกาสให้แก่ผู้ส่งออกผักและผลไม้ที่มีความสนใจจะขยายตลาดในกลุ่มประเทศอียูได้ใช้บริการซีแอลที ในการตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนยาฆ่าแมลงอีกด้วย

“สิ่งที่เกิดตามมา 4 เรื่อง ประการแรกประเทศไทยได้เครดิต อียูให้การยอมรับ เพราะตลาดอียูมีการตรวจสารปนเปื้อนที่เข้มข้นที่สุด เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ประการต่อมามีประโยชน์มหาศาลในการส่งออก ทำให้ผักผลไม้ไทยทำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น เป็นจุดสำคัญของจีดีพี ประการที่สามมีประโยชน์ต่อผู้ประกอบการส่งออกที่ต้องการขยายตลาดในอียู และประการสุดท้ายโลคอลอีโคโนมี ต้องการเอาแล็บระดับสากลไปช่วยชาวบ้านตามนโยบายรัฐบาลหรือแล็บประชารัฐ” บอสใหญ่เซ็นทรัลแล็บกล่าว

ขณะนี้ทางเซ็นทรัลแล็บได้ส่งเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจวัดสารปนเปื้อนพืชผักและผลไม้ในห้างสรรพสินค้าติดแอร์ชั้นนำ ซึ่งยังพบสารปนเปื้อนจำพวกยาฆ่าแมลงอยู่หลายยี่ห้อเหมือนกัน ดังนั้นหากประชาชนผู้บริโภคที่ต้องการให้เซ็นทรัลแล็บตรวจวัดสารตกค้างในพืชผักและผลไม้ยี่ห้อใด หรือที่ใด สามารถส่งข้อมูลมาได้ใน www.facebook.com/centrallabthai หรือโทร.0-2940-5993 ได้ทุกวันในเวลาราชการ

อย่างไรก็ตาม EURLs เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับดูแลของรัฐสภายุโรปที่มีภารกิจปรับปรุงคุณภาพความถูกต้องและความสามารถในการเปรียบเทียบผลการทดลองในห้องปฏิบัติการอย่างเป็นทางการและออกใบรับรองมาตรฐานด้านการตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อน ยาฆ่าแมลงในผักและผลไม้จากประเทศคู่ค้า นับเป็นอีกก้าวของเซ็นทรัลแล็บไทยในการตรวจวัดสารพิษตกค้างในพืชผักและผลไม้ไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

ผนึกรัฐ-เอกชนดันแล็บไทยสู่ศูนย์กลางอาเซียน

ดร.อุดม ชนะสิทธิ์ นายกสมาคมการค้าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษถึงตลาดการลงทุนเครื่องมือห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยว่าอยู่ในอัตรา 15% จากค่าเฉลี่ยเดิม 10% จากมูลค่าตลาดรวม 6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้เพราะรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้มีนโยบายต่างๆ ออกมาช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนในภาคเอกชนผ่านทางโปรเจกท์ที่น่าสนใจอย่างเช่น Super Cluster Project ผลักดันเศรษฐกิจระดับประเทศผ่าน 10 อุตสาหกรรมหลักของไทย นอกจากนั้นนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลที่จะเน้นสร้างอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพโดยขับเคลื่อนผ่านโมเดลของประชารัฐผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนา ร่วมกับมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน ตลอดจนผู้ประกอบการต่างๆ เพื่อสร้างนวัตกรรมให้ไทยเป็น Value base economy ส่งผลให้เกิดความจำเป็นที่ต้องใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือทางห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย

“ปัจจุบันสัดส่วนของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทั้งในภาครัฐและเอกชนมีการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นประมาณ 0.75% ของจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 แสนล้านบาท นับเป็นทิศทางที่ดีที่ภาคเอกชนและภาครัฐจะร่วมมือกันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยสู่ระดับสากลอย่างเป็นรูปธรรม ที่สำคัญสมาคมการค้าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังได้กระตุ้นการลงทุนเครื่องมือวิทยาศาสตร์และทางห้องปฏิบัติการ ทั้งภาครัฐ เอกชนและสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน”

อนุชา พันธุ์พิเชฐผู้จัดการโครงการ ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์เนชั่นแนล 2017 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน ณ ศูนย์แสดงนิทรรศการไบเทค บางนา ยอมรับว่า อุตสาหกรรมเครื่องมือห้องปฏิบัติการ เป็นอีกอุตสาหกรรมสำคัญที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทย จากอัตราการขยายตัวของตลาดที่มากถึง 15% และมีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคตจะเป็นจุดแข็งให้เรามั่นใจและมุ่งมั่นที่จะสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการจัดงานในระดับภูมิภาค จากการพัฒนางานมาต่อเนื่องถึง 7 ปีทำให้งาน ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์เนชั่นแนล 2017 แสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเครื่องมือห้องปฏิบัติการที่ใหญ่และครบถ้วนที่สุดในอาเซียน

“ปีนี้ผู้เข้าชมงานจะพบกับบริษัทชั้นนำกว่า 330 บริษัทจากทั่วโลก พร้อมพาวิลเลี่ยนนานาชาติมารวมกันในงานนี้ ขอเชิญชวนผู้ซื้อ นักวิจัย ผู้ปฏิบัติการในห้องแล็บ ผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมงาน พร้อมเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายโดยตรง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.0-2670-0900 ต่อ 201-206” ผู้จัดการโครงการกล่าวเชิญชวนทิ้งท้าย

ที่มา : คม ชัด ลึก 
Link : ข่าว Click